ขอบเขต กลยุทธ์การทางการตลาดจะต้องมีขอบเขตของการดำเนินงานที่ครอบคลุม รวมทั้งจะต้องมีการกำหนดสัดส่วนสำหรับการปฏิบัติงานที่มีส่วนข้องเกี่ยวกับการใช้กลยุทธ์อย่างชัดเจน
2. เป้าหมายและวัตถุประสงค์ กลยุทธ์ทางการตลาดจะต้องมีการกำหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์ รวมทั้งกำหนดระดับความสำเร็จของการดำเนินงานให้ชัดเจน ตัวอย่างเช่น การตั้งเป้าหมายกำไรที่เพิ่มขึ้น เป้าหมายผลตอบแทนจากการลงทุน หรือเป้าหมายการเติบโตของยอดขาย เป็นต้น
3. การจัดสรรทรัพยากร กลยุทธ์ทางการตลาดจะต้องมีการจัดสรรทรัพยากรต่างๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรทางการเงิน ทรัพยากรสำหรับการลงทุน รวมทั้งทรัพยากรบุคคล
4. การได้เปรียบทางการแข่งขัน กลยุทธ์ทางการตลาดจะต้องมีการระบุการได้เปรียบทางการแข่งขัน เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับผู้ประกอบการ ให้สามารถวางแผนการดำเนินงานในขั้นต่อๆ ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5.
กลยุทธ์การสร้างความหลากหลายในสายผลิตภัณฑ์ - GotoKnow
- Coolsculpting waist before and after
- กลยุทธ์ทางการตลาดสมัยใหม่ที่น่าสนใจ บางอย่างคุณอาจคาดไม่ถึง - Thai Printing Association - สมาคมการพิมพ์ไทย
- กลยุทธ์การสร้างความหลากหลายในสายผลิตภัณฑ์ - GotoKnow
- เปิดให้บริการแล้ว U-Store by copperwired ชั้น 1 BEEHIVE Lifestyle Mall
การสร้างความคิดโครงการใหม่
แหล่งความคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ได้แก่ ลูกค้า นักวิทยาศาสตร์ วิจัย หรือทดทอง
ผู้บริหารของบริษัท พนักงานขาย คนกลาง และคู่แข่ง
2. การกลั่นกรองความคิดโครงการใหม่
ต้องคำนึงถึงความสอดคล้องระหว่างวัตถุประสงค์ของกิจการ และทรัพยากรของกิจการ
3. การพัฒนาแนวความคิดและการทดสอบแนวความคิด
พัฒนาแนวความคิด วางตำแหน่งโครงการของเรา และทดสอบแนวความคิด
4. การพัฒนากลยุทธ์การตลาด
ประกอบด้วยสามส่วน คือ พิจารณาโครงสร้าง พฤติกรรมการซื้อของตลาดเป้าหมาย
การวางและการว่างตำแหน่งของเรา พิจารณาราคา ช่องทางการจำหน่าย งบทางการตลาด
และพิจารณายอดขาย เป้าหมายทางการตลาดระยะยาว
5. การวิเคราะห์ธุรกิจเพื่อคาดคะเนการตอบรับจากผู้รับบริการ
6. การพัฒนาโครงการใหม่อีกครั้ง
7. การทดสอบตลาดในสภาพแวดล้อมการตลาดที่เหมือนจริง
ตราสินค้า (Branding)
แบรนด์ (Brand) คือ ชื่อ
คำศัพท์ เครื่องหมาย สัญลักษณ์ การออกแบบหีบห่อ หรือ คุณสมบัติโดยรวมอื่นๆ
ที่สร้างเอกลักษณ์ให้กับสินค้าหรือบริการของผู้ขายและสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่น
ความสำคัญของตราสินค้าสินค้าได้แก่
ลูกค้าเรียกชื่อสะดวก
ถูกต้อง
สะดวกในการซื้อซ้ำ
สร้างความเชื่อถือในมาตรฐาน
แสดงคุณลักษณะที่แตกต่าง
สะดวกในการขาย
ช่วยในการกำหนดราคา
ช่วยกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์
เสียวหมี่ย้ำกลยุทธ์ Smartphone x AIoT เปิดตัว Xiaomi 12 Series
กลยุทธ์การตลาดแบบดึง หรือที่เรียกว่า กลยุทธ์ส่งเสริมการขายแบบดึง หมายถึง กลยุทธ์ ที่ บริษัท เพิ่มความต้องการผลิตภัณฑ์ของตน ต้นทุนผลิตภัณฑ์รวมถึงวัสดุทางตรง (DM) ค่าแรงทางตรง (DL) และค่าโสหุ้ยในการผลิต (MOH) ดึงกลยุทธ์การตลาด หมุนรอบรับผู้บริโภค ในทำนองเดียวกันจะถามว่าตัวอย่างกลยุทธ์การดึงคืออะไร? กลยุทธ์ การส่งเสริมการขาย แบบดึง ใช้การโฆษณาเพื่อสร้างความต้องการของลูกค้าสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการ ตัวอย่างเช่น การ โฆษณาของเล่นเด็กในรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กเป็น กลยุทธ์ดึง ประการที่สอง บริษัทใดบ้างที่ใช้กลยุทธ์การดึง ตัวอย่างที่พบบ่อยที่สุดสำหรับแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการ ใช้กลยุทธ์การดึง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ได้แก่ Adidas, Nike, Reebok, Zara, Louis Vuitton และอื่น ๆ อีกมากมาย ในเรื่องนี้ ตัวอย่างของกลยุทธ์การตลาดแบบพุชคืออะไร? กลยุทธ์ผลักดัน พยายามขายตรงไปยังผู้บริโภค เลี่ยงช่องทางการจัดจำหน่ายอื่นๆ ตัวอย่าง นี้จะขายประกันหรือวันหยุดโดยตรง ด้วย กลยุทธ์ ประเภทนี้ การส่งเสริมการขายและการโฆษณาของผู้บริโภคเป็นเครื่องมือ ส่งเสริมการขายที่ มีแนวโน้มมากที่สุด กลยุทธ์การตลาดแบบผลักและดึงต่างกันอย่างไร?
1
การบริการตนเอง (Self-service)
บรรจุภัณฑ์สามารถดึงดูดความสนใจให้ลูกค้ามาซื้อสินค้าด้วยการอธิบายถึงลักษณะผลิตภัณฑ์
การสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและให้ความรู้สึกที่ชื่นชอบ
2. 2
ความอยู่ดีของผู้บริโภค (Consumer
affluence)
ลูกค้ามียินดีที่จะจ่ายเงินสำหรับความสะดวก
รูปลักษณ์และความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์
2. 3
ภาพลักษณ์ของกิจการและตรา (Company and
brand image)
กิจการเห็นความสำคัญของการสนับสนุนให้มีบรรจุภัณฑ์ที่ดีเพื่อการยอมรับของลูกค้า
2. 4
โอกาสทางนวัตกรรม (Innovation
Opportunity) บรรจุภัณฑ์สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ
ให้กับตลาดและสร้างกำไรให้กับกิจการ
3.
กลยุทธ์การตลาดกับ Product Life Cycle – Popticles.com
การสะสมความคิด พัฒนาและทดสอบแนวคิด ในช่วงเริ่มแรกของการพัฒนาผลิตภัณฑ์จะมีการเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา
หลังจากที่กิจการได้มีความคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ (Product Idea) แล้ว
ต่อมาจะต้องมีการกลั่นกรองความคิดเพื่อให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถนำมาทดสอบในตลาดได้
กิจการจะต้องแสดงรายละเอียดให้อยู่ในรูปของแนวคิดผลิตภัณฑ์ (Product concept)
ที่อธิบายรายละเอียดในรูปที่มีความหมายและภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ (Product image) โดยนำเสนออย่างเป็นรูปธรรมในรูปธรรมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ตลาดต้องการ
2. การพัฒนากลยุทธ์ตลาด
เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาด ซึ่งจะต้องมีการกลั่นกรอง 3 ขั้นตอนดังนี้
·
อธิบายโครงสร้างและพฤติกรรมของตลาดเป้าหมาย
แผนการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์และการขายส่วนครองตลาดและกำไรในช่วง 2-3 ปีแรก
แผนเกี่ยวกับราคาผลิตภัณฑ์
กลยุทธ์การจัดจำหน่าย และงบประมาณการตลาดในปีแรก
แผนการขายและเป้าหมายกำไรระยะยาว
และกลยุทธ์ส่วนประสมการตลาดที่ใช้
3.
19 ก. ค. 2560 เวลา 7:40 น. 1. 1k 19 ก.
กลยุทธ์และโครงสร้างธุรกิจของลอรีอัล กรุ๊ป | ลอรีอัล ประเทศไทย
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product Development)
เป้าหมายหนึ่งของการลงทุนในด้านวิจัยและพัฒนา
(R&D) ก็คือการผลิตสินค้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งผลจากการวิจัยที่ได้
จะเป็นในรูปของสิ่งที่จับต้องไม่ได้ (Intangible) ดังนั้นขั้นตอนนี้จึงเป็นการทำให้สิ่งที่คาดหวังจากการวิจัยและพัฒนานำมาสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีความแตกต่าง
ด้วยการนำเทคโนโลยีและโอกาสในการทำการตลาดมาผสมผสานเพื่อนำไปจำหน่ายหรือนำไปจดสิทธิบัตรเพื่อสร้างรายได้
ผลิตภัณฑ์ใหม่คืออะไร? ผลิตภัณฑ์สามารถเป็นสิ่งที่ใหม่ในโลก
หรืออาจเป็นสิ่งที่ใหม่ในองค์กร ยกตัวอย่างเช่น บ. Hewlett-Packard (HP) ผลิตเครื่องพิมพ์ Laser Jet ได้เป็นรายแรกของโลก
แต่ บ. IBM ได้ผลิต Laser printer ในสายผลิตภัณฑ์ใหม่ของกิจการ ซึ่งเป็นผู้ผลิตหลังจากที่ HP ได้ผลิตมาก่อนหลายปีแล้ว
นอกจากนี้ บ. โบอิ้งได้แนะนำ โบอิ้ง รุ่น 747: 400
และได้เป็นเครื่องบินที่ได้มีการพัฒนาให้เป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ในองค์กรที่ประสบความสำเร็จอีกรุ่นหนึ่ง
หรือ บ. Microsoft ได้แนะนำรุ่นต่าง
ๆ ของระบบปฏิบัติการ Windows ออกมา
เช่น Windows 3. 1 Windows 98 Windows 2000
Windows XP Windows NT เป็นต้น
ความสำเร็จขององค์กรคือการพัฒนาสินค้าเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงในการดำเนินธุรกิจประกอบด้วย รายได้และกำไร
ผลตอบแทนกับผู้ถือหุ้น การบริการที่ดี การตอบแทนต่อสังคม การให้โอกาสต่อพนักงาน
การสร้างความก้าวหน้าให้กับองค์กร
ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์สินค้าใหม่ให้กับกิจการ
เพื่อให้การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายขององค์กร
องค์กรจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ดังต่อไปนี้
1.
ยอดขายการรับรู้จะต่ำหรือเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
2. ต้นทุนสูงและมีการจัดการมาก
3. กำไรน้อยมาก
4. การจัดจำหน่ายอยู่ในขอบเขตจำกัด
ขั้นที่ 2 ขั้นการเจริญเติมโต (Growth
stage) มีลักษณะคือ
1. ยอดขายการรับรู้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
2. กำไรสูงขึ้นตามยอดขาย
3. คู่แข่งเริ่มเข้าสู่ตลาด
4. มีการกระจายการจัดจำหน่ายให้กว้างขึ้น
ขั้นที่ 3 ขั้นเจริญเติมโตเต็มที่
(Maturity stage)
ยอดขายเพิ่มขึ้นสู่จุดสูงสุดและจะเริ่มลดลง เนื่องจากตลาดใกล้ถึงจุดอิ่มตัวและมีคู่แข่งขันมาก
1. ยอดขายและกำไรจะสูงถึงจุดสูงสุดและเริ่มลดลง
2. ต้นทุนลดลง (ผลิตมากขึ้น)
3. เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย
4. ปรับปรุงรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
ขั้นที่ 4 ขั้นตกต่ำ (Decline
stage) มีลักษณะดังนี้
1. ยอดขายลดลงมาก
2. กำไรลดลง
3.
2564 และจะช่วยให้สินค้าแบรนด์'มาลี' เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ผู้บริโภคมองหาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งนับเป็นรากฐานสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัท" นางสาวรุ่งฉัตร กล่าวทิ้งท้าย